วิธีเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ

เลือกแอร์อย่างไรให้คุ้มค่า ประหยัดไฟ เป็นคำถามที่พบบ่อยสำหรับคนที่กำลังเลือกซื้อแอร์ใหม่ แอร์ยี่ห้อดัง ๆ ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน และเลือกตัวแทนจำหน่ายเครื่องปรับอากาศที่น่าเชื่อถือก็สามารถทำให้เรามั่นใจได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้แอร์ทุกยี่ห้อทุกรุ่นก็มีข้อดี มีจุดเด่น และประสิทธิภาพที่ต่างกันไป จึงควรพิจารณาหลาย ๆ ด้านก่อนตัดสินใจ เราจึงขอแนะนำแนวทางในการเลือกซื้อแอร์ให้ตรงกับความต้องการใช้งาน ให้คุ้มค่า และประหยัดไฟ มากที่สุด

 

1. เลือกประเภทของแอร์ให้เหมาะสม

แอร์สำหรับการใช้งานโดยทั่วไป สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ

1.1 แอร์สำหรับบ้านพักอาศัย ซึ่งเป็นเครื่องปรับอากาศแบบติดผนังขนาดกระทัดรัด เหมาะสำหรับการใช้ตามบ้านเรือน หรือใช้ติดตั้งในห้องขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เป็นแอร์ติดผนัง เพราะติดตั้งและดูแลรักษาง่าย หรือแอร์ตั้งพื้น ที่สามารถนำแอร์ไปวางได้ในพื้นที่ที่หลากหลาย สามารถทำความเย็นได้รวดเร็ว

             

 

1.2 แอร์เชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ สามารถแบ่งย่อยได้อีกหลายรูปแบบ เช่น แบบฝังฝ้า ซึ่งติดตั้งอยู่บนตัวฝ้าของเพดาน มีการปล่อยความเย็นออกมาจากตัวแอร์ 4 ทิศทาง เป็นต้น เหมาะสำหรับใช้กับสำนักงาน ร้านค้า ร้านอาหาร หรือภายในอาคารที่มีพื้นที่กว้างขวาง

              

2. เลือกขนาดของแอร์ให้เหมาะสม

ขนาดแอร์ก็เป็นอีกหลักเกณฑ์หลักในการเลือกแอร์ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ซึ่งหน่วยวัดขนาดของแอร์นั้นเรียกว่า BTU/h โดยสามารถวัดได้ว่าแอร์เครื่องนั้นมีความสามารถในการดึงความร้อนออกจากห้องได้กี่ BTU ต่อชั่วโมง (1 BTU เท่ากับปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 ปอนด์มีอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาฟาเรนไฮด์ หรือ 0.56 องศาเซลเซียส)

จำนวนของ BTU ที่ควรเลือกใช้นั้นขึ้นอยู่กับขนาดของห้อง (ความกว้าง x ยาว) และตัวแปรต่างๆ เช่น ห้องโดนแดดหรือไม่โดนแดด ความสูงของเพดานห้อง จำนวนคนในห้อง เป็นต้น การเลือกแอร์ที่มี BTU ต่ำไป จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักตลอดเวลาเพื่อคงอุณหภูมิให้ได้ตามที่ตั้งไว้ จึงเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานและทำให้เครื่องเสียเร็ว ส่วนการเลือกแอร์ที่มี BTU สูงไปก็ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ เพราะยิ่ง BTU สูง เครื่องก็ยิ่งมีราคาแพงและกินไฟมาก 

BTU คืออะไร


BTU ย่อมาจาก British Thermal Unit คือขนาดความสามารถการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดย 1 ตันความเย็น = 12,000 BTU

สูตรคำนวณหาค่า BTU


BTU = ความกว้าง (เมตร) x ความยาว (เมตร) x ค่าตัวแปร

ค่าตัวแปร

  • 700-800 : สำหรับห้องนอน หรือห้องที่มีความร้อนน้อย (ห้องที่ไม่โดนแดดหรือโดนเล็กน้อย ฝ้าต่ำ หรือห้องที่ใช้แอร์ช่วงกลางคืน)
  • 800-900 : สำหรับห้องรับแขก หรือห้องที่มีความร้อนปานกลาง - มาก (ห้องที่โดนแดด อยู่ทิศตะวันตก หรือใช้แอร์ช่วงกลางวัน)
  • 900-1000 : สำหรับห้องออกกำลังกาย ห้องทำงาน หรือห้องที่มีความร้อนมาก หรือฝ้าสูง(ห้องที่โดนแดด อยู่ทิศตะวันตก อยู่ชั้นบนสุด หรือใช้แอร์ช่วงกลางวัน)
  • 1000-1200 : สำหรับร้านค้า ร้านอาหารที่เปิดปิดประตูบ่อย ร้านทำผม หรือสำนักงานที่มีคนอยู่จำนวนมาก

หากฝ้าเพดานสูงกว่า 2.5 เมตร มีจำนวนคนในห้องมากกว่า 3คนหรือมีคอมพิวเตอร์ ควรบวกค่า BTU เพิ่มขึ้นอีก 5% จากค่าปกติ

ตัวอย่าง ห้องนอนมีขนาดกว้าง 3.5 เมตร ยาว 4.5 เมตร ต้องใช้แอร์ขนาดเท่าไร
(ข้อมูลเพิ่มเติม ห้องอยู่ทางทิศตะวันตก มีเครื่องใช้ไฟฟ้า ทีวี หลอดไฟฟ้า)

ใช้ค่าตัวแปร = 800
BTU = พื้นที่ห้อง x ค่าตัวแปร (ห้องนอน)


BTU = 3.5*4.5 *800 = 12,600 BTU

                 

                     ตารางคำนวณขนาดบีทียูของแอร์ เปรียบเทียบกับขนาดของห้อง

     

 

3. เลือกแอร์ที่ประหยัดพลังงาน

ไม่ว่าจะซื้อแอร์ยี่ห้อไหนก็ตาม ควรเลือกแอร์ หรือเครื่องปรับอากาศที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 โดยฉลากไฟเบอร์ 5 นั้นเป็นระดับที่ประหยัดไฟมากที่สุด รวมทั้งแอร์ที่มีค่า EER หรือ SEER สูงโดยค่า EER คือ ค่าประสิทธิภาพแอร์ในการใช้พลังงาน วัดจากความสามารถในการทำความเย็น (BTU/h) ต่อกำลังไฟที่ใช้ไป (W) ยิ่งแอร์มีค่า EER สูงก็ยิ่งกินไฟน้อย

ส่วนค่า SEER คือ ค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามฤดูกาลของเครื่องปรับอากาศ พูดง่ายๆ ก็คืออากาศภายนอกมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของแอร์ ซึ่งใช้วัดกับแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) โดยถ้าค่า SEER สูง ก็ยิ่งกินไฟน้อยเช่นกัน

ปัจจุบัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 โฉมใหม่ ที่เรียกกันว่า เบอร์ 5 ติดดาว โดยแบ่งเกณฑ์ประสิทธิภาพเป็น 4 ระดับได้แก่ เบอร์ 5 / เบอร์ 5 1 ดาว / เบอร์ 5 2 ดาว / เบอร์ 5 3 ดาว โดยจำนวนดาวยิ่งมาก ยิ่งประหยัดไฟ

นอกจากนี้แล้ว แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถปรับเพิ่มหรือลดความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์ได้ตามอุณหภูมิห้อง ก็ช่วยทำให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าแอร์ธรรมดา และให้อุณหภูมิที่คงที่มากกว่า

              

 

4. เลือกแอร์ที่มีการใช้งานทนทาน

อายุการใช้งานของแอร์เป็นหนึ่งในสิ่งที่ใช้ในการพิจารณาเลือกซื้อ เพราะคุณคงไม่อยากให้อายุของแอร์ขึ้นอยู่แค่การใช้งานและดูแลรักษาให้ถูกวิธี แต่ควรขึ้นอยู่กับความทนทานของตัวเครื่องด้วย 

 

5. เลือกแอร์ที่เสียงเบา ทำงานเงียบ

เสียงของแอร์อาจเป็นสิ่งที่รบกวนสมาธิหรือการนอนหลับของคุณได้เลย โดยเฉพาะแอร์ที่ไม่ใช่ระบบ อินเวอร์เตอร์ เพราะคอมเพรสเซอร์จะถูกตัดเมื่ออุณหภูมิถึงระดับที่ตั้งไว้ และเริ่มการทำงานใหม่เมื่ออุณหภูมิห้องสูงขึ้น ทำให้เกิดเสียงดัง แตกต่างจากแอร์อินเวอร์เตอร์ ที่จะลดรอบมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ลงเพื่อให้อุณหภูมิคงที่ แทนที่จะจะตัดการทำงานแล้วเริ่มใหม่ ทำให้ไม่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ที่สำคัญคือการทำงานของเครื่องเงียบ ไม่เกิดไฟกระชาก

 

6. เลือกช่างแอร์ที่มีความเชี่ยวชาญ

แอร์ที่คุณใช้งานจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ 50% และการติดตั้งอีก 50% ดังนั้นช่างติดตั้งเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญมาก ควรเลือกช่างติดตั้งที่ได้รับการอบรมด้านการติดตั้งและบำรุงรักษาจากบริษัทแอร์แต่ละยี่ห้อโดยตรงเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน

 

7. เลือกการบริการหลังการขายที่ดี

เลือกการบริการหลังการขายที่ดี แน่นอนว่าไม่มีใครอยากใช้การบริการหลังการขายเพราะนั่นหมายความแอร์ของคุณมีปัญหา ซึ่งผู้ซื้อที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์กับบริการหลังการขายอาจเลือกได้ยากว่าแบรนด์ไหนดี ให้ดูรีวิวจากผู้ใช้งานจริงตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ โดยให้พิจารณาจากบริษัทแอร์ที่มีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ ให้บริการรวดเร็ว สุภาพ ตรงต่อเวลา พร้อมแก้ปัญหาจบในการเข้าหน้างานครั้งเดียว

 

10 มกราคม 2567

ผู้ชม 5034 ครั้ง

Engine by shopup.com